u สมัยอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น
u สมัยการปฏิรูปการปกครองสมัย ร.5
u สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย
สมัยสุโขทัย
u รูปแบบการปกครอง : พ่อปกครองลูก ธรรมราชา
u ผู้ปกครองเรียกว่า พ่อขุน
u ผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองมีความสัมพันธ์กันอย่าง
ใกล้ชิด
u เมื่ออาณาจักรขยายใหญ่ขึ้นได้ปรับเอาความคิดของพราหมณ์และพุทธศาสนามาใช้
u กลายเป็นรูปแบบการปกครองครองแบบธรรมราชา
u กษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม
การจัดรูปแบบการปกครอง
u การปกครองส่วนกลาง
u ราชธานี
u การปกครองหัวเมือง
u หัวเมืองชั้นใน เมืองอุปราช เมืองหน้าด่าน เมืองลูกหลวง
u เมืองท้าวพระยามหานคร
u เมืองประเทศราช
สมัยอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น
u สมัยอยุธยา
u การจัดรูปแบบการปกครอง
* รับความคิดของทฤษฎีเทวสิทธิ์มาใช้
* กษัตริย์คือสมมุติเทพ
* จากราชโองการเป็นเทวโองการ
* ผู้ใต้ปกครองต้องเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้
การจัดรูปแบบการปกครองสมัยอยุธยา
u การปกครองส่วนกลาง
u จตุสดมภ์ 4 กรมคือเวียง วัง คลัง นา
u สมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งกรมกลาโหม และกรมมหาดไทยเพิ่ม
u เกิดสมุหกลาโหม และสมุหนายก มีอำนาจเหนือเสนาบดีจตุสดมภ์
u สมัยพระเพทราชาแบ่งให้สมุหกลาโหมดูแลทางใต้ สมุหนายกดูแลทางเหนือ
u การปกครองหัวเมือง : การรวมอำนาจสู่ส่วนกลาง
u ยกเลิกหัวเมืองชั้นในทั้ง 4 ทิศ
u ขยายบริเวณราชธานีออกไปทับเขตเดิม อยู่ใต้กษัตริย์โดยตรง
u คงเมืองพระยามหานคร โดยแบ่งเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรีตามขนาดใหญ่เล็ก
u ในเมืองหนึ่งๆแบ่งการปกครองท้องที่เป็น เมือง แขวง ตำบล(กำนัน) บ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน)
สมัยธนบุรี
ใช้รูปแบบการปกครองเดียวกับการปกครองสมัยอยุธยา
การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5
u สาเหตุของการปฏิรูปสมัย ร.5
u การเปลี่ยนแปลงของโลก
u การคุกคามจากจักรวรรดินิยม
u ความต้องการเปลี่ยนแปลงจากขุนนางที่
ได้รับการศึกษา
u ความต้องการลดอำนาจขุนนาง
ปฏิรูปการปกครองเป็น 3 ส่วน
u ส่วนกลาง
u ส่วนภูมิภาค
u ส่วนท้องถิ่น
การปกครองส่วนกลาง
u จัดตั้งกระทรวง 12 กระทรวง โดยมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเสมอกันทั้งหมด
u กระทรวงมหาดไทย
u กระทรวงกลาโหม
u กระทรวงการต่างประเทศ
u กระทรวงวัง
u กระทรวงนครบาล
u กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
u กระทรวงยุติธรรม
u กระทรวงยุทธนาธิการ
u กระทรวงเกษตราธิการ
u กระทรวงธรรมการ
u กระทรวงโยธาธิการ
u กระทรวงมุรธาธิการ
ตั้งสภาที่ปรึกษา 2 สภา
u 1.เสนาบดีสภาหรือรัฐมนตรีสภา
u ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดิน
u พิจารณาร่างกฎหมาย
u 2.องคมนตรีสภา
u ที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์
u เป็นคณะกรรมการชำระความ
การปกครองส่วนภูมิภาค
u หลักการ
u ขยายอำนาจการปกครองของส่วนกลางออกไปยังหัวเมืองต่างๆโดยตรง
u เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความมั่นคงของประเทศ
u ยังผลให้หัวเมืองต่างๆอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวเท่านั้น
u มณฑลเทศาภิบาล
u เมือง
u อำเภอ
u ตำบล
u หมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น
u การจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกเมื่อพ.ศ.2440
u พ.ศ.2448 จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม
u ตลอดรัชกาลมีการจัดตั้งสุขาภิบาลทั้งสิ้น 35 แห่ง
u หน้าที่หลักสำคัญคือการรักษาความสะอาด การบำรุงรักษาถนน
สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย
u วันก่อการคือวันที่ 24 มิถุนายน 2475
u คณะผู้ก่อการคือ คณะราษฎร
u ผู้นำของคณะราษฎรที่สำคัญ เช่น
u พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
u พันตรีหลวงพิบูลสงคราม(แปลก ขีตตะสังคะ)
u หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
u หลวงโกวิท อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์)
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สาเหตุทางเศรษฐกิจ
u ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
u ภาวะเศรษฐกิจในประเทศถดถอย
u นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คนส่วนใหญ่
u การตัดทอนรายจ่ายรัฐบาล โดยปลดข้าราชการ
u การเพิ่มภาษีอากร
สาเหตุทางการเมือง
u อำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่มี
u พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คืออภิรัฐมนตรีสภา
u ทำให้ข้าราชการทั่วไปรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงส่งเสริมให้พวกราชวงศ์ผูกขาดอำนาจทางการเมือง
สาเหตุทางสังคม
u ความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างชั้นเจ้ากับราษฎรเห็นอย่างชัดเจน
u เจ้ามีกินอย่างเหลือเฟือส่วนราษฎรอดอยาก
u เจ้าได้อภิสิทธิ์ต่างๆมากกว่าราษฎร
u เจ้าใช้อิทธิพลหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
u ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพวกเจ้า
สาเหตุจากอิทธิพลภายนอก
u อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยแบบตะวันตก
u พวกนักศึกษาที่ได้ไปศึกษาจากต่างประเทศต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศเจริญเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
ผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
u คณะราษฎรจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก
u ประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475
u ร.7 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
รูปแบบการปกครองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
u เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
u สถาบันกษัตริย์เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
โครงสร้างและสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
u สภาผู้แทนราษฎร
u คณะกรรมการราษฎร
u ศาล
u รัฐธรรมนูญ
u พรรคการเมือง
u การเลือกตั้ง
u การกระจายอำนาจปกครอง
สภาผู้แทนราษฎร
u มีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ
u มีอำนาจถอดถอนคณะกรรมการราษฎร(คณะรัฐมนตรี)
u มีอำนาถอดถอนพนักงานของรัฐ
u ประธานสภาฯคนแรกคือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
u สมาชิกสภาในครั้งแรกนั้นมาจากการแต่งตั้งจากคณะราษฎร
คณะกรรมการราษฎร
u สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานกรรมการราษฎร หรือนายกรัฐมนตรี
u สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกคณะกรรมการราษฎรหรือรัฐมนตรีอีก 14 คนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พรรคการเมือง
u คณะราษฎรได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็น “สมาคมคณะราษฎร”เพื่อเป็นการปูพื้นฐานระบบพรรคการเมืองในอนาคต
u ถือได้ว่า สมาคมคณะราษฎร เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกก็ว่าได้
การเลือกตั้ง
u มีพ.ร.บ.การเลือกตั้ง 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2476 โดยบัญญัติวีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไว้ 2 ขั้นตอน เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม
u 1. ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกผู้แทนตำบล
u 2. ผู้แทนตำบลเลือกผู้แทนราษฎร
การกระจายอำนาจปกครอง
u มีการกระจายอำนาจการปกครองในรูปแบบ เทศบาลเมื่อปี 2476
u มีการยกฐานะสุขาภิบาลที่อยู่ 35 แห่ง เป็นเทศบาล
u รัฐบาลของคณะราษฎรมีความมุ่งหวังจะยกฐานะทุกตำบลให้เป็นเทศบาล ซึ่งตอนนั้นทั่วประเทศมีตำบลรวมทั้งสิ้น 4,800 ตำบล
การจัดรูปแบบการปกครอง
u มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2476
u ถือว่าเป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับแรกของประเทศไทย ได้จัดระเบียบบริหารราชการเป็น 3 ส่วน
u ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวได้จัดระเบียบบริหารราชการเป็น 3 ส่วนคือ
u การบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
u การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่จังหวัด อำเภอ
u การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่เทศบาล
การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศจัดตั้ง "เสนาบดีสภา"และจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่12 กระทรวง ได้แก่ กลาโหม, นครบาล, วัง, เกษตรพานิชการ,พระคลัง, การต่างประเทศ, ยุทธนาธิการ, โยธาธิการ, ธรรมการ, ยุติธรรม ,มุรธาธิการ และมหาดไทย แทนจตุสดมภ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2435 หลังจากนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2435 ทรงยุบกระทรวงที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ทำให้เหลือกระทรวงเพียง 10 กระทรวง คือ มหาดไทย กลาโหม นครบาล วัง ต่างประเทศ พระคลังมหาสมบัติ โยธาธิการ ยุติธรรม ธรรมการ เกษตราธิการ
การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดการรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนต่างๆ ขึ้นเป็นเขตการปกครอง เรียกว่า "มณฑล"โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองและขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกได้ดังนี้
การปกครองแบบเทศาภิบาล หลักการปกครองแบบนี้คือ รัฐบาลจะทำการปกครองหัวเมืองตั้งแต่ชั้นต่ำสุดถึงสูงสุด โดยเริ่มต้นจากพลเมืองเลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้าน 10 หมู่บ้านมีสิทธิเลือกกำนันของตำบล ตำบลหลายๆ ตำบลมีพลเมืองประมาณ 10,000 คนรวมกันเป็นอำเภอ หลายอำเภอรวมกันเป็นเมือง และหลายเมืองรวมเป็นมณฑลโดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ดูแล
การปกครองท้องที่ ในพ.ศ.2440 รัชกาลที่ 5 ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ สำหรับการจัดการปกครองระดับอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น ทรงริเริ่มจัดการ "สุขาภิบาล"ในเขตกรุงเทพ และตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทดลองให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น
ผลของการปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
· ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในราชอาณาจักร เป็นผลจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่กรุงเทพ
· รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ สามารถขยายอำนาจเข้าควบคุมพื้นที่ภายในพระราชอาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
· ทำให้กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการปฏิรูปการปกครองพากันก่อปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากกบฏผู้มีบุญทางภาคอีสาน ร.ศ.121 กบฏเงื้ยวเมืองแพร่ ร.ศ.121และกบฏแขกเจ็ดหัวเมือง แต่รัฐบาลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
การปฏิรูปการยุติธรรมและการศาล
ในพ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามริเริ่มปฏิรูปการศาลให้ดีขึ้น โดยการจัดตั้งศาลรับสั่งขึ้นตรงต่อพระองค์ เพื่อพิจารณาคดีความที่อยู่ในกรมพระนครบาล มหาดไทย กรมท่า เมื่อ รัชกาลที่ 5 ทรงรวมอำนาจศาลไปขึ้นกับส่วนกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ขุนนางเคยได้ลดลง และไม่เปิดโอกาสให้ใช้อำนาจทางศาลในทางที่ผิดได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมในพ.ศ.2435 ด้วยเพื่อพิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งตามแบบตะวันตก โดยมอบหมายให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งสำเร็จวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
การจัดตั้งสภาที่ปรึกษา เพื่อให้ขุนนาง ข้าราชการ ได้คุ้นเคยกับการปกครองในรูปแบบใหม่ ทำให้ขุนนาง ข้าราชการได้รู้จักการแสดงความคิดเห็น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มี2 สภา คือ
1)สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทำหน้าที่ประชุมปรึกษาในเรื่องราชการแผ่นดิน การออกกฎหมายต่างๆ
2)สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาส่วนพระองค์เกี่ยวกับราชการต่างๆ
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง ใน พ.ศ.2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการเสด็จกลับจากดูงานการปกครองในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ได้ทรงทำบันทึกเสนอต่อรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงพิจารณาที่จะให้มีการปฏิรูปการปกครอง จึงได้ทรงจัดตั้งกรมขึ้นใหม่ 6 กรม เมื่อรวมกับที่มีอยู่แล้ว 6 กรม เป็น 12 กรม คือ
1)กรมมหาดไทย 2)กรมพระกลาโหม 3)กรทท่า 4)กรมวัง 5)กรมเมือง 6)กรมนา 7)กรมพระคลัง 8)กรมยุติธรรม
9)กรมยุทธนาธิการ 10)กรมธรรมการ 11)กรมโยธาธิการ 12)กรมมุรธาธิการ
ใน พ.ศ.2435 กรมเหล่านี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง และโปรดฯ ให้ยกเลิกการปกครองระบบจตุสดมภ์ และใน พ.ศ.2437 ได้มีพระราชบัญญัติแยกอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมและมหาดไทยออกจากกัน
การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค มีการปกครองตามระบบเทศาภิบาล ซึ่งได้ระบุไว้ใน ประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ร.ศ.113 โดยรวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็น 1 มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้บังคับบัญชาการมณฑลละ 1คน ซึ่งต้องขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การเปลี่ยนระบบการปกครองหัวเมืองเป็นระบบเทศาภิบาลไม่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะว่ารัฐบาลประสบปัญหาหลายอย่าง เช่น การขาดบุคลากรในการปฏิบัติงาน รัฐบาลกลางขาดงบประมาณทำให้รัฐบาลต้องเร่งรัดภาษี
การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องการให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล สุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกคือสุขาภิบาลตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุครสาคร ตั้งขึ้นใน พ.ศ.2448
รัฐสภา
ประวัติรัฐสภาไทย
รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา
ต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน
ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ
· หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง
· หลังที่ 2 เป็นตึกสมัยสุโขทัย
7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา
u สมัยอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น
u สมัยการปฏิรูปการปกครองสมัย ร.5
u สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย
สมัยสุโขทัย
u รูปแบบการปกครอง : พ่อปกครองลูก ธรรมราชา
u ผู้ปกครองเรียกว่า พ่อขุน
u ผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองมีความสัมพันธ์กันอย่าง
ใกล้ชิด
u เมื่ออาณาจักรขยายใหญ่ขึ้นได้ปรับเอาความคิดของพราหมณ์และพุทธศาสนามาใช้
u กลายเป็นรูปแบบการปกครองครองแบบธรรมราชา
u กษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม
การจัดรูปแบบการปกครอง
u การปกครองส่วนกลาง
u ราชธานี
u การปกครองหัวเมือง
u หัวเมืองชั้นใน เมืองอุปราช เมืองหน้าด่าน เมืองลูกหลวง
u เมืองท้าวพระยามหานคร
u เมืองประเทศราช
สมัยอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น
u สมัยอยุธยา
u การจัดรูปแบบการปกครอง
* รับความคิดของทฤษฎีเทวสิทธิ์มาใช้
* กษัตริย์คือสมมุติเทพ
* จากราชโองการเป็นเทวโองการ
* ผู้ใต้ปกครองต้องเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้
การจัดรูปแบบการปกครองสมัยอยุธยา
u การปกครองส่วนกลาง
u จตุสดมภ์ 4 กรมคือเวียง วัง คลัง นา
u สมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งกรมกลาโหม และกรมมหาดไทยเพิ่ม
u เกิดสมุหกลาโหม และสมุหนายก มีอำนาจเหนือเสนาบดีจตุสดมภ์
u สมัยพระเพทราชาแบ่งให้สมุหกลาโหมดูแลทางใต้ สมุหนายกดูแลทางเหนือ
u การปกครองหัวเมือง : การรวมอำนาจสู่ส่วนกลาง
u ยกเลิกหัวเมืองชั้นในทั้ง 4 ทิศ
u ขยายบริเวณราชธานีออกไปทับเขตเดิม อยู่ใต้กษัตริย์โดยตรง
u คงเมืองพระยามหานคร โดยแบ่งเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรีตามขนาดใหญ่เล็ก
u ในเมืองหนึ่งๆแบ่งการปกครองท้องที่เป็น เมือง แขวง ตำบล(กำนัน) บ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน)
สมัยธนบุรี
ใช้รูปแบบการปกครองเดียวกับการปกครองสมัยอยุธยา
การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5
u สาเหตุของการปฏิรูปสมัย ร.5
u การเปลี่ยนแปลงของโลก
u การคุกคามจากจักรวรรดินิยม
u ความต้องการเปลี่ยนแปลงจากขุนนางที่
ได้รับการศึกษา
u ความต้องการลดอำนาจขุนนาง
ปฏิรูปการปกครองเป็น 3 ส่วน
u ส่วนกลาง
u ส่วนภูมิภาค
u ส่วนท้องถิ่น
การปกครองส่วนกลาง
u จัดตั้งกระทรวง 12 กระทรวง โดยมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเสมอกันทั้งหมด
u กระทรวงมหาดไทย
u กระทรวงกลาโหม
u กระทรวงการต่างประเทศ
u กระทรวงวัง
u กระทรวงนครบาล
u กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
u กระทรวงยุติธรรม
u กระทรวงยุทธนาธิการ
u กระทรวงเกษตราธิการ
u กระทรวงธรรมการ
u กระทรวงโยธาธิการ
u กระทรวงมุรธาธิการ
ตั้งสภาที่ปรึกษา 2 สภา
u 1.เสนาบดีสภาหรือรัฐมนตรีสภา
u ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดิน
u พิจารณาร่างกฎหมาย
u 2.องคมนตรีสภา
u ที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์
u เป็นคณะกรรมการชำระความ
การปกครองส่วนภูมิภาค
u หลักการ
u ขยายอำนาจการปกครองของส่วนกลางออกไปยังหัวเมืองต่างๆโดยตรง
u เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความมั่นคงของประเทศ
u ยังผลให้หัวเมืองต่างๆอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวเท่านั้น
u มณฑลเทศาภิบาล
u เมือง
u อำเภอ
u ตำบล
u หมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น
u การจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกเมื่อพ.ศ.2440
u พ.ศ.2448 จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม
u ตลอดรัชกาลมีการจัดตั้งสุขาภิบาลทั้งสิ้น 35 แห่ง
u หน้าที่หลักสำคัญคือการรักษาความสะอาด การบำรุงรักษาถนน
สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย
u วันก่อการคือวันที่ 24 มิถุนายน 2475
u คณะผู้ก่อการคือ คณะราษฎร
u ผู้นำของคณะราษฎรที่สำคัญ เช่น
u พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
u พันตรีหลวงพิบูลสงคราม(แปลก ขีตตะสังคะ)
u หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
u หลวงโกวิท อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์)
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สาเหตุทางเศรษฐกิจ
u ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
u ภาวะเศรษฐกิจในประเทศถดถอย
u นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คนส่วนใหญ่
u การตัดทอนรายจ่ายรัฐบาล โดยปลดข้าราชการ
u การเพิ่มภาษีอากร
สาเหตุทางการเมือง
u อำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่มี
u พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คืออภิรัฐมนตรีสภา
u ทำให้ข้าราชการทั่วไปรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงส่งเสริมให้พวกราชวงศ์ผูกขาดอำนาจทางการเมือง
สาเหตุทางสังคม
u ความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างชั้นเจ้ากับราษฎรเห็นอย่างชัดเจน
u เจ้ามีกินอย่างเหลือเฟือส่วนราษฎรอดอยาก
u เจ้าได้อภิสิทธิ์ต่างๆมากกว่าราษฎร
u เจ้าใช้อิทธิพลหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
u ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพวกเจ้า
สาเหตุจากอิทธิพลภายนอก
u อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยแบบตะวันตก
u พวกนักศึกษาที่ได้ไปศึกษาจากต่างประเทศต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศเจริญเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
ผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
u คณะราษฎรจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก
u ประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475
u ร.7 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
รูปแบบการปกครองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
u เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
u สถาบันกษัตริย์เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
โครงสร้างและสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
u สภาผู้แทนราษฎร
u คณะกรรมการราษฎร
u ศาล
u รัฐธรรมนูญ
u พรรคการเมือง
u การเลือกตั้ง
u การกระจายอำนาจปกครอง
สภาผู้แทนราษฎร
u มีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ
u มีอำนาจถอดถอนคณะกรรมการราษฎร(คณะรัฐมนตรี)
u มีอำนาถอดถอนพนักงานของรัฐ
u ประธานสภาฯคนแรกคือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
u สมาชิกสภาในครั้งแรกนั้นมาจากการแต่งตั้งจากคณะราษฎร
คณะกรรมการราษฎร
u สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานกรรมการราษฎร หรือนายกรัฐมนตรี
u สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกคณะกรรมการราษฎรหรือรัฐมนตรีอีก 14 คนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พรรคการเมือง
u คณะราษฎรได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็น “สมาคมคณะราษฎร”เพื่อเป็นการปูพื้นฐานระบบพรรคการเมืองในอนาคต
u ถือได้ว่า สมาคมคณะราษฎร เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกก็ว่าได้
การเลือกตั้ง
u มีพ.ร.บ.การเลือกตั้ง 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2476 โดยบัญญัติวีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไว้ 2 ขั้นตอน เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม
u 1. ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกผู้แทนตำบล
u 2. ผู้แทนตำบลเลือกผู้แทนราษฎร
การกระจายอำนาจปกครอง
u มีการกระจายอำนาจการปกครองในรูปแบบ เทศบาลเมื่อปี 2476
u มีการยกฐานะสุขาภิบาลที่อยู่ 35 แห่ง เป็นเทศบาล
u รัฐบาลของคณะราษฎรมีความมุ่งหวังจะยกฐานะทุกตำบลให้เป็นเทศบาล ซึ่งตอนนั้นทั่วประเทศมีตำบลรวมทั้งสิ้น 4,800 ตำบล
การจัดรูปแบบการปกครอง
u มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2476
u ถือว่าเป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับแรกของประเทศไทย ได้จัดระเบียบบริหารราชการเป็น 3 ส่วน
u ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวได้จัดระเบียบบริหารราชการเป็น 3 ส่วนคือ
u การบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
u การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่จังหวัด อำเภอ
u การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่เทศบาล
การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศจัดตั้ง "เสนาบดีสภา"และจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่12 กระทรวง ได้แก่ กลาโหม, นครบาล, วัง, เกษตรพานิชการ,พระคลัง, การต่างประเทศ, ยุทธนาธิการ, โยธาธิการ, ธรรมการ, ยุติธรรม ,มุรธาธิการ และมหาดไทย แทนจตุสดมภ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2435 หลังจากนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2435 ทรงยุบกระทรวงที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ทำให้เหลือกระทรวงเพียง 10 กระทรวง คือ มหาดไทย กลาโหม นครบาล วัง ต่างประเทศ พระคลังมหาสมบัติ โยธาธิการ ยุติธรรม ธรรมการ เกษตราธิการ
การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดการรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนต่างๆ ขึ้นเป็นเขตการปกครอง เรียกว่า "มณฑล"โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองและขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกได้ดังนี้
การปกครองแบบเทศาภิบาล หลักการปกครองแบบนี้คือ รัฐบาลจะทำการปกครองหัวเมืองตั้งแต่ชั้นต่ำสุดถึงสูงสุด โดยเริ่มต้นจากพลเมืองเลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้าน 10 หมู่บ้านมีสิทธิเลือกกำนันของตำบล ตำบลหลายๆ ตำบลมีพลเมืองประมาณ 10,000 คนรวมกันเป็นอำเภอ หลายอำเภอรวมกันเป็นเมือง และหลายเมืองรวมเป็นมณฑลโดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ดูแล
การปกครองท้องที่ ในพ.ศ.2440 รัชกาลที่ 5 ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ สำหรับการจัดการปกครองระดับอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น ทรงริเริ่มจัดการ "สุขาภิบาล"ในเขตกรุงเทพ และตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทดลองให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น
ผลของการปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
· ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในราชอาณาจักร เป็นผลจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่กรุงเทพ
· รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ สามารถขยายอำนาจเข้าควบคุมพื้นที่ภายในพระราชอาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
· ทำให้กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการปฏิรูปการปกครองพากันก่อปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากกบฏผู้มีบุญทางภาคอีสาน ร.ศ.121 กบฏเงื้ยวเมืองแพร่ ร.ศ.121และกบฏแขกเจ็ดหัวเมือง แต่รัฐบาลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
การปฏิรูปการยุติธรรมและการศาล
ในพ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามริเริ่มปฏิรูปการศาลให้ดีขึ้น โดยการจัดตั้งศาลรับสั่งขึ้นตรงต่อพระองค์ เพื่อพิจารณาคดีความที่อยู่ในกรมพระนครบาล มหาดไทย กรมท่า เมื่อ รัชกาลที่ 5 ทรงรวมอำนาจศาลไปขึ้นกับส่วนกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ขุนนางเคยได้ลดลง และไม่เปิดโอกาสให้ใช้อำนาจทางศาลในทางที่ผิดได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมในพ.ศ.2435 ด้วยเพื่อพิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งตามแบบตะวันตก โดยมอบหมายให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งสำเร็จวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
การจัดตั้งสภาที่ปรึกษา เพื่อให้ขุนนาง ข้าราชการ ได้คุ้นเคยกับการปกครองในรูปแบบใหม่ ทำให้ขุนนาง ข้าราชการได้รู้จักการแสดงความคิดเห็น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มี2 สภา คือ
1)สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทำหน้าที่ประชุมปรึกษาในเรื่องราชการแผ่นดิน การออกกฎหมายต่างๆ
2)สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาส่วนพระองค์เกี่ยวกับราชการต่างๆ
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง ใน พ.ศ.2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการเสด็จกลับจากดูงานการปกครองในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ได้ทรงทำบันทึกเสนอต่อรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงพิจารณาที่จะให้มีการปฏิรูปการปกครอง จึงได้ทรงจัดตั้งกรมขึ้นใหม่ 6 กรม เมื่อรวมกับที่มีอยู่แล้ว 6 กรม เป็น 12 กรม คือ
1)กรมมหาดไทย 2)กรมพระกลาโหม 3)กรทท่า 4)กรมวัง 5)กรมเมือง 6)กรมนา 7)กรมพระคลัง 8)กรมยุติธรรม
9)กรมยุทธนาธิการ 10)กรมธรรมการ 11)กรมโยธาธิการ 12)กรมมุรธาธิการ
ใน พ.ศ.2435 กรมเหล่านี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง และโปรดฯ ให้ยกเลิกการปกครองระบบจตุสดมภ์ และใน พ.ศ.2437 ได้มีพระราชบัญญัติแยกอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมและมหาดไทยออกจากกัน
การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค มีการปกครองตามระบบเทศาภิบาล ซึ่งได้ระบุไว้ใน ประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ร.ศ.113 โดยรวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็น 1 มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้บังคับบัญชาการมณฑลละ 1คน ซึ่งต้องขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การเปลี่ยนระบบการปกครองหัวเมืองเป็นระบบเทศาภิบาลไม่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะว่ารัฐบาลประสบปัญหาหลายอย่าง เช่น การขาดบุคลากรในการปฏิบัติงาน รัฐบาลกลางขาดงบประมาณทำให้รัฐบาลต้องเร่งรัดภาษี
การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องการให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล สุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกคือสุขาภิบาลตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุครสาคร ตั้งขึ้นใน พ.ศ.2448
รัฐสภา
ประวัติรัฐสภาไทย
รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา
ต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน
ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ
· หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง
· หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา
· หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา
· หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา